ขอให้สำลักความสุข ...ขอให้ทุกข์กระเด็น ...ขอให้เห็นรอยยิ้ม ...ขอให้อิ่มความรัก...ขอให้หนักเงินทอง ...ขอให้มองฟ้าสวย ...ขอให้รวยความฝัน ...ขอให้มั่นความดี ...ขอให้มีแรงใจ ...ขอให้สดใส สบายกายสบายใจ

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

CCA คือหัวใจของแบตเตอรี่รถยนต์


ในการผลิตแบตเตอรี่รุ่นใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น พร้อมทั้งมีการเรียนรู้มากขึ้นว่า
แบตเตอรี่สำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ หัวใจอยู่ที่กำลังในการสตาร์ท   (CCA = Cold Cranking Amps ) หรือแปลเป็นไทยให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ก็คือ ความสามารถในการจ่ายกระแสไฟฟ้ากระชาก สูงสุด ) เพราะเวลาสตาร์ทเครื่องยนต์มอเตอร์สตาร์ทจะกระชากกระแสไฟฟ้าจำนวนมาก จากแบตเตอรี่ (แต่ใช้เวลาเพียงแค่ 1-5 วินาที) ซึ่งคิดกลับเป็นความจุไฟฟ้าเพียงเล็กน้อย แต่แบตเตอรี่ต้องสามารถจ่ายได้  และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสามารถนี้ของแบตเตอรี่ก็คือ ความต้านทานไฟฟ้า (Internal Resistance = IR )  และปัจจัยมีมีผลต่อความต้านทานไฟฟ้าที่แตกต่างกันก็คือ ความหนาแน่นของแผ่นธาตุ(ซึ่งแผ่นแบบหล่อไม่สามารถทำให้แน่นเพิ่มขึ้นได้ ) และ พื้นที่ผิวสัมผัสต่อสารเกิดปฏิกิริยาไฟฟ้า และ ความเข้มข้นของน้ำกรด  ดังนั้นแผ่นธาตุจึงใช้เทคนิคการรีด (ทำให้กำหนดความหนาแน่นแผ่นธาตุได้ )

                 
ดัง นั้นแบตเตอรี่รุ่นใหม่ ๆ จึงอาจจะมีจำนวนแผ่นธาตุเท่าๆ กัน แต่ CCA แตกต่างกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละราย  บางรายอาจจะทำให้แผ่นธาตุมีความหนาแน่นสูง ๆ และ สูงกว่า แต่มีจำนวนแผ่นน้อยลง  บางรายอาจจะทำให้แผ่นเตี้ยกว่า แต่มีจำนวนมากกว่า ก็เป็นได้  ดังนั้น ในแบตเตอรี่รุ่น ใหม่ ๆ จำนวนแผ่นธาตุจึงมิใช่สาระสำคัญอีกต่อไปครับ แต่จะแตกต่างกันที่ CCA ที่จะต้องมีให้เพียงพอต่อความต้องการของรถยนต์  ซึ่งคร่าว ๆ จะเป็นดังนี้นะครับ

เครื่องยนต์    ขนาด 1,500 CC  ต้องการ CCA ~ 1,500 * 0.13  = 195 CCA
เครื่องยนต์    ขนาด 2,000 CC  ต้องการ CCA ~ 2,000 * 0.13  = 260 CCA
เครื่องยนต์    ขนาด 3,000 CC  ต้องการ CCA ~ 3,000 * 0.13  = 390 CCA

ซึ่งค่านี้เป็นการคำนวณแบบคราว ๆ นะครับ ซึ่งค่าที่ได้เป็นค่าอย่างน้อยที่แบตเตอรี่ต้องมี สำหรับการจะสตาร์ทเครื่องยนต์ 
ซึ่งถ้าไปเช็คตามร้านทั่วไปที่ไม่มีเครื่องมือพิเศษ ก็อาจจะบอกว่าแบตฯเสื่อมหรือไม่ก็จะจับ

แบตฯไปทำการ ชาร์จ ถ้าหลังจากชาร์จแล้ว ยังเหมือนเดิมก็แสดงว่า แบตฯเสื่อมสภาพ
แต่ใน ปัจจุบัน มีเครื่องมือพิเศษเป็นอุปกรณ์ทีใช้ในการวัดประสิทธิภาพของแผ่นธาตุใน แบตเตอรี่ ว่ายังมีสภาพพร้อมที่จะทำปฎิกิริยากับน้ำกรดเพื่อสร้างกระแสไฟ ให้เกิดค่ากำลังไฟครับหรือไม่เพราะมีหลายท่านอาจจะพบว่า นำแบตฯไปชาร์จจนโวลท์เต็ม ขนาด 12.6-12.8 โวลท์แล้ว แต่ทำไมยังไม่สามารถสตาร์ทรถติดได้ นั้นก็ เพราะแผ่นธาตุนั้นมีซัลเฟตเกาะหรือเสื่อมแล้ว ไม่สามารถสร้างกระแสไฟได้
หรือบางครั้งเราลืม เปิดไฟหรื่ค้างคืนไว้ พอเช้ามาสตาร์ทรถไม่ติด ถ้าไปเข็คตามร้านทั่วไป อาจจะบอกว่าแบตหมด เสื่อมแล้ว เพราะเขาวัด แต่เฉพาะโวลท์ของแบต ไม่สามารถวัดค่า cca ได้
ซึ่งถ้าใช้เครื่องวัดเครื่องจะแจ้งว่า good recharge หมายถึง สภาพแผ่นธาตุยังคงใช้งานได้แต่ค่าโวลท์นั้นต่ำลง (เพราะเราลิมเปิดไฟค้างคืนไว้) ถ้าเรานำไป recharge ใหม่ก็จะใช้งานได้ดังเดิม  เช่น แบตฯรุ่น ปิกอัพ ขนาด 70 แอมป์ หรือท้องตลาดจะเรียกว่า รุ่น  NS70 z นั้น ตามระบบสากลเรียกรุ่นนี้ว่า รุ่น 75D 31 ซึ่งมีค่ามาตรฐาน CCA ต้องไม่ต่ำกว่า 380 แอมป์ ซึ่งถ้าใช้อุปกรณ์วัดค่า CCA แล้วพบว่า ต่ำกว่ามาตรฐาน อย่างน้อย 20% เครื่องจะเตือนและแจ้งว่า ควรที่จะเปลี่ยนแบตฯใหม่ได้แล้ว
เพราะมิฉะนั้นท่านอาจจะพบเหตุ แบตหมดได้ในวันใดวันหนึ่ง ดังนั้นจะเห็นว่า ค่าโวลท์ หรือ ค่า ถ.พ.น้ำกรดนั้น มิได้เป็นตัวบอกว่าแบตลูกนั้นจะใช้งานได้ดีหรือไม่เสมอไป
การวัดค่าต่างๆ ในตัวแบตเตอรี่มีหลายค่า ที่ต้องวัดเพื่อทราบถึงประสิทธิภาพของ การทำงานของแบตเตอรี่
สรุปนะครับ  ตรวจเช็คแบตเตอรี่รถยนต์ครั้งต่อไป อย่าลืมให้ช่างเช็คค่า CCA ของแบตเตอรี่เพื่อความสะดวก ปลอดภัยในการใช้รถยนต์(เราควรบันทึกค่า CCA ของแบตลูกนั้นเป็นประวัติด้วย มันจะลดค่าลงเรื่อยๆ ครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่ใส่ใจค่า CCA

การวัดแบตเตอรี่ ค่าCCA คืออะไร 
สำคัญแค่ไหน?
การวัดค่าต่างๆในตัวแบตเตอรี่มีหลายค่าที่ต้องวัดเพื่อทราบถึงประสิทธิภาพของ การทำงานของแบตเตอรี่ นอกเหนือจากการวัดค่าแรงดันไฟ Volatage no-load แล้วค่าอื่นๆก็มีความสำคัญเช่นกัน แต่ถ้าจะมาจำเพาะเจาะจงถึงเรื่องกำลังไฟสำหรับการติดหรือการสตาร์ทเครื่อง ยนต์ สิ่งที่สามารถบอกถึงประสิทธิภาพในเรื่องนี้คือ การวัดค่า CCA 
(Cool Cranking Ampere) 
เครื่องตรวจวิเคราะห์แบตเตอรี่
 ค่า CCA ( Cool Cranking Ampere )  คือค่าที่บอกจำนวนกระแสไฟฟ้า ที่แบตเตอรี่ลูกนั้นๆสามารถส่งออกมาในระยะเวลา 30วินาที (ที่อุณหภูมิ 0 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ -18องศาเซลเซียส) จนกว่าแรงดันไฟของแบตเตอรี่จะตกลงไปที่ 1.2 โวลต์ ต่อเซล หรือ7.2โวลต์ สำหรับแบตเตอรี่ 12โวลต์   ด้วยเหตุนี้ แบตเตอรี่ 12โวลต์ที่มีค่า CCA 500 บอกเราคือแบตเตอรี่จะปล่อยกระแสไฟ 500แอมป์เป็นเวลา30 วินาทีที่อุณหภูมิ 0 องศาฟาเรนไฮต์ จนกว่าแรงดันไฟของแบตเตอรี่จะตกลงไปที่ 1.2 โวลต์ ต่อเซล หรือ7.2โวลต์
เมื่อค่าที่วัดได้ เปรียบเทียบกับค่าที่ระบุจากแบตเตอรี่ และจากผู้ผลิตรถยนต์ ไม่ตรงกัน อาจก่อปัญหาได้ เช่นถ้าค่าที่วัดได้ต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดให้ใช้ อาจทำให้แบตเตอรี่ไม่มีกำลังพอที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ ซึ่งเหตุการณ์เกิดได้บ่อยกับรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่เป็นเวลานานและไม่มีการ ตรวจเช็คอย่างถูกต้อง ทำให้ต้องขอพ่วงไฟเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์จากรถคันอื่นๆ ตรวจเช็ครถยนต์ครั้งต่อไป อย่าลืมให้ช่างเช็คค่า CCA ของแบตเตอรี่เพื่อการใช้งานที่คงทนและยาวนาน

 http://twl.tarad.com/article?id=6254&lang=th